วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

จังกอบ


   

ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ราชอาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะพระองค์เป็นทั้งนักรบและนักปราชญ์ ทรงปกครองประเทศชาติได้เป็นปึกแผ่นและมีการขยายการค้าไปทั่วราชอาณาจักรและไปถึงต่างประเทศ จากความเจริญรุ่งเรืองและมีการประกอบการค้าทั้งในและนอกราชอาณาจักรในยุตสมัยราชอาณาจักรสุโขทัยดังที่กล่าวมาข้างต้นปรากฏในศิลาจารึกซึ่งแสดงหลักฐานว่า มีการจัดเก็บภาษีอากรมาตั้งแต่ก่อนยุคพ่อขุนรามคำแหง คือข้อความตอนหนึ่งที่ว่า


เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดี
ในน้ำมีปลาในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจังกอบในไพร่ลู่ทาง
เพื่อนจองวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย
ใครจักค้าช้างค้า ใครจักค้าม้าค้า



     จากข้อความที่ว่าแต่เดิมมีการจัดเก็บจังกอบ จำกอบ หรือจกอบนี้ เป็นค่าเดียวกัน เป็นภาษีชนิดหนึ่งที่เก็บจากผู้นำสัตว์และสิ่งของสินค้าไปเพื่อขายในที่ต่างๆ หรือหมายถึงภาษีที่เก็บจากสัตว์และสิ่งของที่นำเข้ามาจำหน่าย โดยวิธีเก็บจังกอบในสมัยนั้นจะเก็บในอัตรา 10 ชัก 1 และการเก็บนั้นมิได้เก็บเป็นตัวเงินเสมอไป คือเก็บเป็นสิ่งของแทนตัวเงินก็ได้แล้วแต่จะเก็บอย่างใดได้สะดวก เพราะในสมัยนั้นวัตถุที่ใช้แทนเงินตรายังไม่สมบูรณ์ ในยุคสมัยนั้น ในการจัดเก็บจังกอบ รัฐบาลจะตั้งเป็นสถานที่คอยดักเก็บในสถานที่ที่สะดวก เช่นถ้าเป็นทางบก ก็จะไปตั้งที่ปากทางหรือทางที่จะเข้าเมือง ถ้าเป็นทางน้ำ ก็จะตั้งใกล้ท่าแม่น้ำหรือเป็นทางร่วมสายน้ำ โดยสถานที่เก็บจังกอบ เรียกว่า ขนอน ทั้งนี้ขนอนจะเป็นที่คอยเก็บจังกอบสินค้าทั่วไป ไม่เฉพาะเพียงการนำเข้าและขนออกนอกราชอาณาจักรเท่านั้น เพราะมีทั้งขนอนบก ขนอนน้ำ ขนอนชั้นนอก ขนอนชั้นใน และ ขนอนตลาด เป็นต้น
        การจัดเก็บจังกอบเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนยุคสุโขทัย และได้ยกเว้นไม่เก็บจังกอบจากราษฎรเลยในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ในภายหลังจากสมัยพ่อขุนรามคำแหงไม่มีหลักฐานว่า ในยุคสุโขทัยได้มีการจัดเก็บจังกอบจากราษฎรอีกหรือไม่





**จังกอบ คือ ภาษีที่เก็บที่เก็บตามด่านขนอน โดยชักส่วนจากสินค้าหรือเก็บเป็นเงินตามขนาดของพาหนะที่บรรทุกสินค้า เช่น เกวียน กำหนดให้เก็บ ๑0 ชัก ๑ ถ้าไม่ถึง ๑0 ไม่ต้องเก็บ ถ้าเป็นทางน้ำให้คิดตามความกว้างของปากเรือ วาละ ๑0 บาทถึง ๒0 บาท เรียกว่าค่าปากเรือ 
จังกอบสินค้า เก็บจากสินค้าทุกชนิดที่บรรทุกเข้ามาและบรรทุกออกไป ถ้าเป็นการบรรทุกทางทะเล นอกจากต้องเสียค่าภาษีปากเรือแล้ว ต้องเสียจังกอบสินค้าด้วย แต่จะเก็บเพิ่มพิกัดอย่างไรไม่ปรากฏ การเก็บภาษีสินค้าขาเข้าไม่เท่ากัน ถ้าเป็นเมืองที่มีพระราชไมตรีไปมาค้าขายกันอยู่เสมอ จะเก็บภาษีตามราคาสินค้าร้อยละ ๓ ถ้าภาษีปากเรือกว้างตั้งแต่ ๔ วาขึ้นไปเก็บวาละ ๑๒ บาท ถ้าเป็นเรือเมืองอื่นเก็บในอัตราร้อยละ ๕ ค่าปากเรือวาละ ๒0 บาท สินค้าที่นำเข้ามา ถ้าเป็นของที่ต้องพระราชประสงค์ไม่เก็บภาษี เก็บแต่ค่าปากเรือเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น